วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แก้ข้อ สอบฟิสิกส์

แก้ข้อ สอบฟิสิกส์

1. วัตถุก้อนหนึ่งมวล  80  N   ผูกไว้กับ เชื่อเบายาว 1 เมตร   เมื่อออกแรงดึงวัตถุในทิศขนาน กับพื้นระดับจนเชื่อกทำมุม  30 0  กับแนวดิ่ง  จง หาขนาดของแรงดึง  และตึงในเส้นเชือก 




2. วัตถุหนัก 50  N วางอยู่บนพื้นราบมีค่า สัมประสิทธิ์ความเสียดทาน 0.5 ถ้าออกแรงดึงวัตถุนี้ในทิศทำมุม 60 0 กับพื้นระดับปรากฏว่าวัตถุเริ่มจะเคลื่อนที่พอดี จงหาขนาดของแรงดึง  และแรงปฎิกิริยาของพื้น 



blog

blog

Blog คืออะไร

มารู้จักความหมาย ของประโยคคำถาม ที่มักจะมีคนถามผมบ่อย ๆ เวลาไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ว่า “Blog คืออะไร” กันดีกว่าครับ
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเ� ทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเ� ท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเ� ท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิต� ัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเ� ทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติ
และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออ นไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
อ่านจบบทความนี้ คิดว่าหลาย ๆ ท่านน่าจะเข้าใจว่า Blog คืออะไร เพิ่มขึ้นมากแล้วนะครับ

มนุษย์กกับการใช้น้ำ

  เราคงรู้กันดีว่า 3 ใน 4 ของพื้นที่ผิวโลกถูกปกคลุมด้วยน้ำ แต่คงมีคนไม่มากที่รู้ว่า 97% ของน้ำที่มีเป็นน้ำทะเล และ 3% ที่เหลือเป็นน้ำจืด นอกจากนี้ 2 ใน 3 ของส่วนที่เป็นน้ำจืด ก็อยู่ใน สภาพ น้ำแข็งที่อยู่แถบขั้วโลกที่มนุษย์และสัตว์ใช้ประโยชน์ใดๆ แทบไม่ได้เลย ฉะนั้น น้ำจืดที่โลกมีจริงๆ ให้มนุษย์ใช้จึงมีเพียง 1% ของน้ำทั้งหมด ที่โลกมีเท่านั้นเอง ซึ่งปริมาณน้ำที่มีนี้ ถ้าเรา จัดแบ่งได้อย่างเหมาะสม พลโลกทั้ง 6,000 ล้านคนที่มีอยู่ ขณะนี้ก็จะมีน้ำใช้กันทุกคนอย่างพอเพียง แต่แหล่งน้ำจืดที่มี ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกหาได้อยู่กระจายกันอย่างเท่าเทียมไม่ เช่น แม่น้ำ Amazon ซึ่งมี 15% ของน้ำจืดโลก กลับแทบไม่มีผู้คน อาศัยอยู่ในสถานที่บางแห่งเลย แต่ในเมืองบางเมืองที่มีผู้คน อาศัยอยู่แน่น กลับแทบไม่มีน้ำจืดใช้เลย ซ้ำร้ายน้ำในบางสถานที่ มีมลวัตถุ สภาพเหล่านี้กำลังทำให้การบริโภคน้ำของประชากรโลก มีปัญหาเพิ่มขึ้นทุกวัน
 ภาพจาก : http://www.edwardsaquifer.net/saspring.html
ตามปกติมนุษย์เราใช้น้ำในการเกษตร อุตสาหกรรม และในครอบครัว ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมประมาณว่า 70% ของน้ำจืด ที่เราใช้ในการเกษตรนั้น ต้นไม้ไม่ได้รับ (ดินรับ) วงการอุตสาหกรรมเองใช้น้ำน้อยกว่าวงการเกษตรกรรม แต่น้ำที่ถูกกำจัด ออกจากโรงงานมักจะมีสารเคมีปน เช่น ตามโรงงานทำกระดาษที่ต้องใช้ methyl mercury ในการฆ่าราและจุลินทรีย์ เราจะเห็น น้ำที่ถูกกำจัดจากโรงงานว่ามีสารเคมีชนิดนี้ปะปนมา ซึ่งจะทำให้ใครก็ตามที่บริโภคสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำใกล้โรงงาน กระดาษต้องล้มป่วย ด้วยโรคปรอทเป็นพิษ หรือเวลาโรงงานไฟฟ้านำน้ำทะเลหรือน้ำจืดไปใช้ในการหล่อเลี้ยงเครื่องจักร มิให้มีอุณหภูมิสูงเกินไป แล้วปล่อยน้ำอุ่นที่ใช้แล้วลงสู่แม่น้ำ วิธีการนี้จะทำให้อุณหภูมิของน้ำในแม่น้ำเพิ่ม และก็เป็นที่รู้กันดีว่า น้ำที่ร้อนไม่สามารถโอบอุ้มออกซิเจนได้มาเท่าน้ำเย็น ดังนั้นเราก็จะเห็นว่าถึงแม่น้ำนั้นจะไม่มีสารเคมีเจือปน แต่การเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิของน้ำก็มีผลทำให้สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติรอบโรงงานไฟฟ้าเสียสมดุล เรียบร้อย ดังนั้น เมื่อคิดพิจารณาน้ำที่ใช้ใน เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแล้ว ปริมาณน้ำจืดที่เหลือใช้กันในครัวเรือนจึงมีเพียง 6% ของน้ำจืดทั้งหมดเท่านั้นเอง สถิติที่ได้ จากการสำรวจขององค์การสหประชาชาติ เมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่ามีประชากรโลก 1,700 ล้านคน ที่ไม่มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และน้ำที่คนอีก 3,000 ล้านคน ใช้นั้นก็ผิดสุขลักษณะด้วย
ภาวะการขาดแคลนน้ำบนดินทำให้ประเทศต่างๆ หลายประเทศหันมาใช้น้ำใต้ดินมากขึ้น เพราะได้มีการสำรวจพบว่า ในบางประเทศปริมาณน้ำใต้ดินมีมากกว่าน้ำบนดินที่ประเทศนั้นมีถึง 3,000 เท่า และตามปกติน้ำใต้ดินก็สะอาดกว่าน้ำบนดิน แต่การขุดเจาะน้ำใต้ดินขึ้นมาบริโภค จะมีผลทำให้ดินทรุด และในบางสถานที่น้ำใต้ดินอยู่ไม่ลึกนัก สาร nitrate ที่เกษตรกรใช้ อาจซึมลึกลงไปถึงน้ำใต้ดิน ซึ่งจะทำให้น้ำเป็นพิษ ดังนั้น วิธีการขุดน้ำใต้ดินจึงเป็นวิธีการที่ไม่น่าทำ
อันที่จริง เราทุกคนต้องการน้ำไม่มากนักในการดำรงชีวิต เพียงแค่วันละ 2 ลิตรก็พอ ซึ่งเราได้น้ำส่วนหนึ่งจากอาหารทะเลและ เราจำเป็นต้องใช้น้ำอีกส่วนในกิจกรรมอื่นๆ เช่น ใช้ชักโครก ซึ่งอาจจะมากถึง 10 ลิตร หรืออาบน้ำ ซึ่งอาจจะมากถึง 100 ลิตร เป็นต้น
ในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งมีระบบสาธารณสุขที่ไม่ดีนัก 75% ของประชากร จะขาดน้ำที่ถูกสุขลักษณะ และเวลาประชากรทิ้ง ของเสียลงแม่น้ำ ของเสียเหล่านี้คือ อาหารสำหรับจุลินทรีย์ และโรคร้าย น้ำเสียเหล่านี้จึงมักมีพยาธิปากขอ พยาธิตัวตืด และไวรัส ที่ทำให้คนบริโภคน้ำเป็นโรคไทฟอยด์หรือโรคอหิวาต์ แหล่งน้ำในประเทศที่กำลังพัฒนาหลายแหล่ง จึงเป็นแหล่งอันตราย เพราะ ได้มีการสำรวจพบว่า 80% ของโรคที่ระบาดในพื้นที่แถบนี้ เป็นโรคที่เกิดจากน้ำสกปรกทำให้ผู้เสียชีวิตโดยเฉลี่ยวันละถึง 25,000 คน
ภาวะการขาดน้ำ และการมีน้ำสกปรกได้ทำให้ 1 ใน 5 ของคนที่อาศัยอยู่ในเมือง และ 3 ใน 4 ของคนที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้าน ของประเทศ ที่กำลังพัฒนาไม่มีน้ำที่ดีใช้อย่างเพียงพอ และถ้าระบบการวางท่อประปาในเมืองไร้ประสิทธิภาพ การสูญเสียน้ำเพราะการรั่วของท่อ ก็จะทำให้ปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อ 3 ปีก่อนนี้ P. Ehrlich และคณะแห่งมหาวิทยาลัย Stanford ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทำนายว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้น 45% (ขณะนี้โลกมีประชากร 6,000 ล้านคน ) และทุกวันจะมีคนเกิดเพิ่ม 250,000 คน โลกก็จะไม่มีน้ำจืด ให้พลโลกบริโภคได้อย่างเพียงพอและเมื่อเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ปัญหาสุขภาพของประชาชน ปัญหาการอพยพผู้คน และปัญหา ความขัดแย้งระหว่างประเทศก็จะเกิด วิธีการที่ Ehrlich เสนอให้เป็นทางออก คือ แทนที่จะใช้น้ำทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม ก็ให้หันมาหาวิธีทำให้สิ่งแวดล้อมมีมลพิษน้อยลงและปรับปรุงวิธีการนำน้ำมา ใช้ในการเกษตรให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น อีกทั้งหา วิธีทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด เป็นต้น อนึ่ง นักวิจัยกลุ่มนี้มีความเห็นว่าถ้าจำนวนประชากรโลกมีไม่เกิน 2,000 ล้านคน ทรัพยากรน้ำ ที่โลกมีถึงจะคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน
แต่ในเมื่อน้ำทะเลมีปริมาณมาก นักวิทยาศาสตร์บางคนจึงมีความเห็นว่า เราสมควรหาวิธีทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด โดยใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัยให้ได้น้ำจืดมาก แต่ลงทุนน้อย
วิธีการทำน้ำจืดจากน้ำทะเลที่ว่านั้นมี 2 วิธี วิธีแรกเป็นวิธีตามธรรมชาติที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางนิยมใช้กัน เพราะแผ่นดิน อาหรับมีน้ำน้อย แต่มีน้ำมัน (เงิน) มาก วิธีนี้คือ วิธีต้มกลั่นโดยเอาน้ำทะเลมาต้มทำให้เกิดไอน้ำแล้วกลั่นไอน้ำที่ได้เป็นน้ำ จืดใช้ดื่ม วิธีนี้แพงเพราะน้ำกลั่นที่ได้มีราคา สูงกว่าน้ำธรรมดาราว 5 เท่า ส่วนวิธีที่สองที่ถูกกว่าซึ่งเรียกว่า กระบวนการออสโมซิสย้อนกลับ (reverse osmosis) osmosis คือกระบวนการที่เซลล์ของสิ่งมีชีวิตใช้ในการดูดน้ำเข้าเซลล์ การที่เซลล์ทำได้เช่นนี้ เพราะเซลล์มีเยื่อหุ้มที่ทำด้วยสารพวก cellulose acetate เยื่อหุ้มนี้สามารถปล่อยให้โมเลกุลของน้ำจากภายนอกเซลล์ซึมผ่าน สู่สารละลายในเซลล์ได้ แต่ไม่ปล่อยให้อะตอมของโซเดียมและคลอรีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเกลือผ่าน ดังนั้น ถ้าความเข้มข้น ของเกลือในสารละลายที่อยู่นอกเซลล์ต่ำ น้ำจากภายนอกก็จะไหลเข้าสู่เซลล์ จนกระทั่งความเข้มข้นของเกลือทั้งภายนอกและ ภายในเซลล์เท่ากัน การไหลของสารละลายภายใต้เงื่อนไขที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันนี้ เรียกว่า การไหลแบบออสโมซิส และการ ไหลนี้สามารถย้อนทิศได้ ถ้าสารละลายภายในเซลล์มีความดันสูง ซึ่งจะทำให้น้ำจากภายในเซลล์สามารถไหลออกได้ แต่อะตอม ของโซเดียมและคลอรีนที่อยู่ภายใน จะไม่สามารถไหลผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ออกมาได้ ดังนั้น การไหลแบบนี้จึงเรียกการไหลแบบ ออสโมซิสย้อนกลับ
นักวิทยาศาสตร์สามารถนำวิธีการนี้ไปใช้ตามบ้านได้ โดยการนำเยื่อพิเศษที่ให้โมเลกุลของน้ำผ่าน แต่โมเลกุลของเกลือผ่านไม่ได้ มาปิดปากท่อ แล้วจุ่มท่อลงในมหาสมุทร ณ ที่ระดับลึกมาก ความดันน้ำจะสูงมากพอที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำทะเลซึมผ่านเยื่อ เข้าไปในท่อได้ แต่วิธีการนี้ให้ผลช้า และน้ำที่ได้ก็น้อย ไม่พอกับความต้องการของคน อีกทั้งเยื่อที่นำมาปิดปากท่อ อาจมีสิ่งสกปรก จากน้ำทะเลเข้าไปอุดตันทำให้เยื่อไม่ทำงาน
เพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ นักเทคโนโลยีจึงเสนอแนะให้กรองน้ำทะเลก่อน เพื่อทำน้ำทะเลให้สะอาด แล้วเติมสารเคมีลงไปเพื่อยับยั้ง จุลินทรีย์ในน้ำทะเลไม่ให้เจริญเติบโต จากนั้นก็ใช้ความดันที่สูงประมาณ 67 บรรยากาศ ซึ่งเทียบกับความดันของน้ำทะเล ที่ลึก 600 เมตร อัดน้ำที่ทะลุผ่านเยื่อหุ้มเข้าไปในท่อก็จะเป็นน้ำจืดที่ต้องการ
แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า เยื่อหุ้มที่ทำด้วย cellulose นั้นเสื่อมสมรรถภาพเร็ว ภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน มันก็จะตกเป็นอาหาร ของจุลินทรีย์ในทะเล ปัจจุบันเขาจึงนิยมใช้แผ่นฟิล์มพลาสติกที่ทำด้วย polyamide แทน ถึงอย่างไรก็ตามวิธีการทำน้ำจืดจาก น้ำทะเลวิธีนี้ก็ยังแพงอยู่ดี หากเปรียบเทียบกับน้ำที่ได้จากการขุดบ่อบาดาล ในรัฐ Florida ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการทำน้ำจืดโดย ใช้วิธีนี้แล้วและทำน้ำได้มากถึงวันละ 45 ล้านลิตร แต่ในตะวันออกกลาง วิธีการนี้ยังใช้ไม่ได้ เพราะน้ำทะเลแถบนั้น มีเกลือเข้มข้นกว่า น้ำทะเลแถบอื่น และอุณหภูมิของน้ำทะเลก็สูงกว่าน้ำทะเลในแถบอื่นด้วย มีผลทำให้เยื่อ polyamide ทำงานไม่ได้นาน
ในประเทศเราวิธีการซ่อมท่อที่แตกให้เรียบร้อยคงจะทำให้เราใช้น้ำ ได้อย่างพอเพียง ถึงแม้วิธีนี้จะดู low tech ก็ตาม แต่ก็เป็น วิธีการที่ลงทุนถูกกว่าวิธีการทั้งหมดที่เล่ามาครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

SR 400














ความสมดุล

สมดุลกล

สภาพ สมดุล (Equilibrium) คือ สมดุลที่เกิดขึ้นในขณะที่

วัตถุอยู่ในสภาพ นิ่ง หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัว


สมดุลสัมบูรณ์
absolute equilibrium

สภาวะที่วัตถุที่อยู่ทั้งในสมดุลต่อการเลื่อนที่ และสมดุลต่อการหมุน

สมดุล ของแรง 3 แรงเมื่อมีแรง 3 กระทำต่อวัตถุ วัตถุจะสมดุลได้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือ
1. แรงทั้งสามต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน
2. แรงลัพธ์ = 0
3. แนวแรงทั้งสามต้องพบกันที่จุดเดียวกัน

โมเมนต์ ของแรงคู่ควบ
moment of couple

โมเมนต์ของแรงคู่ควบใด ๆ มีขนาดเท่ากับผลคูณของแรงใดแรงหนึ่งกับระยะทางตั้งฉากระหว่างแนวแรงทั้งสอง ซึ่งทิศการหมุนขึ้นอยู่กับทิศของแรงคู่ควบนั้น


เสถียรภาพของ สมดุล(Stability of balance)

เสถียรภาพของสมดุล เสถียรภาพของสมดุลสามารถแบ่งได้ดังนี้
1.สมดุลเสถียร คือสภาพสมดุลของวัตถุซึ่งมีลักษณะที่วัตถุสามารถกลับสู่สภาพสมดุลที่ตำแหน่ง เดิมได้ โดยเมื่อแรงกระทำกับวัตถุที่อยู่ในสมดุลเสถียร จุดศูนย์ถ่วงจะอยู่สูงกว่าระดับเดิม แต่เมื่อเอาแรงออก วัตถุจะกลับสภาพเดิม
2. สมดุลสะเทิน คือสภาพสมดุลของวัตถุที่อยู่ในลักษณะสามารถคงสภาพสมดุลอยู่ได้ โดยมีตำแหน่งสมดุลที่เปลี่ยนไป
3. สมดุลไม่เสถียร คือ สภาพสมดุลของวัตถุที่อยู่ในลักษณะที่ไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้